Little History of the United States

Little History of the United States
บทนำ
การสร้างประวัติศาสตร์
คนเราสร้างประวัติศาสตร์ได้อย่างไร พวกเราส่วนใหญ่คิดว่าการสร้างประวัติศาสตร์คือการเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์บางอย่างโดยสร้างวีรกรรมที่จะฝังอยู่ในความทรงจำของมนุษย์ไปเนิ่นนาน นั่นคือการสร้างประวัติศาสตร์โดยใช้ชีวิตอยู่ในประวัติศาสตร์ ตัวผมเองเป็นคนที่สร้างประวัติศาสตร์ด้วยอีกวิธีหนึ่ง ผมเขียนประวัติศาสตร์ ในฐานะนักประวัติศาสตร์ ผมมีหน้าที่สืบต้นรายละเอียดจากอดีตและทำความเข้าใจรายละเอียดเหล่านั้น การสร้างประวัติศาสตร์โดยใช้ชีวิตอยู่ในประวัติศาสตร์ด้วยตัวเอง ฟังดูน่าตื่นเต้น สลักสำคัญและถึงขั้นเสี่ยงอันตราย ผู้ยิ่งใหญ่ในคนกลุ่มนี้
มักได้รับการยกย่องหรือบ้างก็ถูกประณามแต่จะเป็นที่จดจำเสมอ แต่ส่วนใหญ่คนจะมองไม่เห็นผู้เขียนประวัติศาสตร์ พวกเขาอาศัยอยู่ในโลกของห้องสมุดที่เต็มไปด้วยหนังสือเก่าๆ ภาพถ่ายซีดจางและบันทึกที่มุมกระดาษม้วนงอ ที่จริงแล้วการเขียนประวัติศาสตร์และใช้ชีวิตในประวัติศาสตร์ดูเหมือนอยู่กันคนละโลก ทว่าโลกสองใบนี้เชื่อมประสานกันอย่างแน่นแฟ้นกว่าที่เราคิด ลองนึกถึงชายสองคนที่เติบโตมาตอนช่วงต้นทศวรรษที่ 20 ไมเคิล คิง (Michael King) เกิดในปี 1929 ที่แอดแลนตา รัฐจอร์เจีย ในยุคข้าวยากหมากแพงช่วงเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ พ่อของเขาผู้เป็นนักเทศน์ตั้งชื่อเล่นให้เขาว่าลิตเติลไมค์ (แน่นอนว่าผู้เป็นพ่อคือบิ๊กไมค์) ไมค์เป็นเด็กอารมณ์อ่อนไหว เมื่อยายของเขาตายเพราะหัวใจวาย เขาเศร้าโศกเสียใจจนทิ้งตัวลงมาจากหน้าต่างชั้นสองของบ้าน (โชคดีที่เขาบาดเจ็บไม่มากนัก) แต่เขาก็เติบโตขึ้นเป็นคนที่สดใสว่าเริงด้วย เมื่อเข้าเรียนมหาวิทยาลัย เขาขึ้นชื่อว่าชอบงานเลี้ยงรื่นเริง สวมเสื้อสูทลำลอง
สีฉูดฉาดเตะตาและรองเท้าสองสีสุดเก๋ เราอาจพูดได้ว่าประวัติศาสตร์ไม่ใช่รักครั้งแรกของเขากระนั้นเขาก็มีอีกด้านหนึ่ง แม้จะชอบไปงานเลี้ยงมากมายแต่เขาก็อ่านหนังสือประวัติศาสตร์ด้วย หนังสือจากห้องสมุดเล่มหนึ่งที่จุดประกายความคิดของเขาคือ ว่าด้วยอารยะขัดขืน (On Civil Disobedience) ของเฮนรี เดวิด ธอโร (Henry David Thoreau) ซึ่งเขียนในปี 1849 ธอโรอภิปรายว่าประชาชนอเมริกันมีเหตุผลอันสมควรที่จะขัดขืนกฎหมายในประเทศของตนได้หรือไม่ ตั้งแต่ตอนที่ไมเคิล คิง อายุเพียงห้าขวบพ่อของเขาก็แนะนำให้รู้จักประวัติศาสตร์ในแง่มุมที่เกี่ยวข้องกับตัวเขาเอง บิ๊กไมค์ตัดสินใจเปลี่ยนชื่อตัวเองและลูกชายตามบุคคลที่เขาชื่นชม นั่นคือ นักปฏิรูปศาสนาชาวเยอรมันนามมาร์ติน ลูเธอร์ (Martin Luther) นับแต่นั้นมา ไมเคิล คิง จูเนียร์ จึงกลายเป็นมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ (Martin
Luther King, Jr.) และสร้างประวัติศาสตร์ในฐานะผู้นำการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิพลเมืองที่เลื่องชื่อที่สุด ทั้งยังเป็นบุคคลเลื่องชื่อที่สุดคนหนึ่งใน ประวัติศาสตร์อเมริกาด้วย
ณ อีกฟากหนึ่งของโลก วาเลนไทน์ อันตาลัน (Valentine Untalan) เติบโตขึ้นในประเทศฟิลิปปินส์ ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง เขาเข้าร่วมเป็นทหารเพื่อป้องกันประเทศจากการรุกรานของญี่ปุ่น สู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับกองกำลังของอเมริกา อันตาลันถูกจับตัวบนคาบสมุทรบาตาอันและถูกต้อนไปยังทุ่งกว้างแห่งหนึ่งพร้อมชาวฟิลิปปินส์และชาวอเมริกันอีกหลายพันคน จากนั้นผู้คุมชาวญี่ปุ่นก็ประกาศว่าเหล่าเชลยศึกต้องเดินเท้าไปยังกรุงมะนิลา พวกเขาจะถูกกักตัวอยู่ที่นั่นเป็นการชั่วคราวตามโรงแรมต่าง ๆ
วาล อันตาลัน ไม่ได้ฉุกคิดด้วยซ้ำว่าตนกำลังสร้างประวัติศาสตร์หรือไม่ เขาเพียงต้องการเอาชีวิตรอดและรู้ว่าต้องหาทางหนีให้ได้ การเดินทางอันแสนยากลำบากของเชลยศึกกลุ่มนี้ได้ชื่อในเวลาต่อมาว่าการเดินขบวนมรณะจากบาตาอัน (Bataan Death March) ซึ่งมีทหารหลายพันนายเสียชีวิต อันตาลันพยายามถึงสี่ครั้งกว่าจะหลบหนีจากพวกญี่ปุ่นได้ เขากลับไปยังหมู่บ้านของตนและกลับมาร่วมรบอีกครั้ง หลังสงครามเขาย้ายไปสหรัฐอเมริกาและกลายเป็นพลเมืองอเมริกัน ทำงานให้กองทัพและสร้างครอบครัวที่นั่น ผมรู้เรื่องราวของเขาเพราะหลายปีต่อมาผมได้แต่งงานกับบุตรสาวคนหนึ่งของเขา คุณรู้จักชื่อมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ แต่อาจไม่เคยได้ยินชื่อ วาเลนไทน์ อันตาลัน ทว่าทั้งสองต่างสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการมีชีวิตอยู่ในประวัติศาสตร์นั้นเอง คนหนึ่งบทบาทยิ่งใหญ่ อีกคนบทบาทเล็ก ตอนที่ยังเด็ก พวกเขาไม่เคยจินตนาการเลยว่าการอ่านหนังสือประวัติศาสตร์จะเปลี่ยนแปลงชีวิตพวกเขาได้ แต่มันก็เกิดขึ้นจริง ๆ เมื่อชาวญี่ปุ่นที่จับกุมเขาสั่งให้เดินเท้าไปยังกรุงมะนิลา วาล อันตาลัน เล่าว่า “ข้าพเจ้าเคยอ่านประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง รู้เรื่องราวโหดร้ายและการกระทำอันโหดเหี้ยมที่เคยเกิดขึ้น ข้าพเจ้าจึงบอกตัวเองว่า คนพวกนี้จะไม่พาเราไปพักโรงแรมหรอก!” เมื่อมาร์ติน ลูเธอร์ คิง ครุ่นคิดหาทางยุติการแบ่งแยกสีผิวอันอยุติธรรม เขาติดใจที่ธอโรเลือกเข้าคุก “แทนที่จะสนับสนุนสงครามซึ่งจะขยายอาณาเขตระบบทาสเข้าสู่เม็กซิโก”
เราสรุปได้ไหมว่า วาเลนไทน์ อันตาลัน ได้อ่านประวัติศาสตร์ จึงรอดชีวิตมาได้ อาจจะเป็นการด่วนสรุปไปสักหน่อย การฉุกคิด ความมุ่งมั่นและความอดทนเด็ดเดี่ยวล้วนมีส่วนช่วย แล้วเราบอกได้ไหมว่า เพราะมาร์ติน ลูเธอร์ คิง อ่านประวัติศาสตร์ เขาจึงเสียชีวิตด้วยกระสุนมือสังหาร แม้ว่าเขาจะนำเสรีภาพอันยิ่งใหญ่มาสู่ชาวอเมริกันหลายล้านคน
ก็ตาม นั่นก็เป็นการสรุปที่ง่ายเกินไปเช่นกัน คิงไม่ได้ตัดสินใจเสี่ยงตายเพื่อหลักการสูงส่งเพียงเพราะอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง แต่ทั้งสองใช้ความรู้ประวัติศาสตร์เพื่อสร้างประวัติศาสตร์ ลองคิดทบทวนดูสิประวัติศาสตร์หล่อหลอมชีวิตคนเราในแง่มุมหลากหลายนับพันอัตลักษณ์ของเราหรือเรานิยามว่าตัวเราเป็นใคร ก็คือประวัติศาสตร์ของเรานั่นเอง ประวัติศาสตร์ส่วนบุคคลนี้ร้อยเรียงจากสิ่งที่เราเคยทำ สถานที่ที่เราเคยไปและเรื่องราวที่เราเคยอ่าน เราประกอบสร้างประวัติศาสตร์ของเราเองจากความทรงจำส่วนตัวอันแจ่มชัด และจากเรื่องราวที่พ่อแม่และญาติ ๆ ส่งต่อกันมา เราสร้างประวัติศาสตร์จากตำนานของทีมกีพาที่เราเข้าร่วม จากหน้าอินเทอร์เน็ตที่เรากดเข้าไปดูและแน่นอน เราได้มาจาก หนังสือประวัติศาสตร์ชีวิตของประเทศแห่งหนึ่งด้วย
หนังสือเล่มนี้เล่าประวัติศาสตร์ว่าสหรัฐอเมริกามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร เรื่องราวน่าทึ่งนี้ครอบคลุมเวลากว่า 500 ปี ชาติหนึ่งขยายดินแดนดรอบคลุมทั่วทวีปที่มีผู้คนหลากหลายชาติพันธุ์ได้อย่างไร และพวกเขามารวมตัวกันภายใต้ธงแห่งเสรีภาพและความเท่าเทียมได้อย่างไร คำขวัญของสหรัฐอเมริกาคือวลีภาษาละตินที่ว่า E pluribus unum ซึ่งแปลว่า จากหลากหลายกลายเป็นหนึ่งเดียว ผู้ก่อตั้งประเทศและประกาศอิสรภาพของประเทศแห่งนี้ย้ำว่า พลเมืองในประเทศ รวมถึงมนุษยชาติทั้งมวล คนเราเกิดมาเท่าเทียมกันและมีสิทธิในชีวิต เสรีภาพและการแสวงหาความสุข เมื่อพิจารณาอย่างผิวเผิน อุดมคติเรื่องเสรีภาพ ความเท่าเทียมและความเป็นหนึ่งเดียว ฟังดูราวกับเทพนิยายอันห่างไกลจากโลกความจริงเหลือเกิน ประเทศแห่งหนึ่งจะประกาศอิสรภาพได้อย่างไร ในเมื่อประชากรหลายแสนคนถูกลักพาตัวมาเป็นทาสในอเมริกา ผู้ก่อตั้งประเทศจะยกย่องความเสมอภาคได้อย่างไร ในเมื่อผู้คนครึ่งหนึ่งที่อาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา
นั่นคือผู้หญิงไม่มีสิทธิเท่าเทียมกับผู้ชาย ประเทศจะเป็นหนึ่งเดียวอย่างแท้จริงได้อย่างไรในเมื่อมีผู้คนแตกต่างหลากหลายประเภท บางคนเคร่งศาสนาและทำพิธีกรรมในสถานที่ชุมนุมเรียบง่าย บางคนไปมหาวิหารสูงตระหง่าน ส่วนบางคนไม่เป็นสมาชิกโบสถ์ใดเลยด้วยซ้ำ บางคนเพิ่งอพยพย้ายมาเพื่อแสวงหาความร่ำรวยจากการปลูกใบยาสูบหรือฝ้าย บางคนทำงานอาบเหงื่อข้างเตาหลอมลุกโชติช่วงที่ผลิตเหล็กกล้าเพื่อสร้างตึกระฟ้าและรางรถไฟ บางคนชอบปลุกปั่นและเลือกเทใบชาลงในอ่าวแทนที่จะยอมจ่ายภาษีซึ่งกำหนดขึ้นโดยที่พวกเขาไม่ได้ยินยอม บางคนเป็นชาวไร่ชาวนาที่ร่วมกันก่อตั้งสหภาพเพื่อเรียกร้องค่าแรงที่เป็นธรรมและสภาพความเป็นอยู่อันสมควร แล้วบางคนยังเป็นนักประดิษฐ์ผู้คิดค้นหลอดไฟ กาหยอดน้ำมันที่ใช้งานได้ดีขึ้น หรือเครื่องฉายภาพบนจอ บรรดานักคิดต่างขัดเกลาความคิดนานา เช่น จะขายหนังสือพิมพ์ให้คนนับล้านได้อย่างไรหรือทำอย่างไรให้เมืองใหญ่น่าอยู่ มีคนหลากหลายมากมายเหลือเกิน หลากหลายจนไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับคุณได้เลย! แต่ใช่อย่างนั้นหรือเปล่านะ ไม่ว่าคุณจะตระหนักหรือไม่ก็ตาม คนเหล่านี้ล้วนเป็นส่วนหนึ่งในประวัติศาสตร์ของคุณเองและคุณก็บอกได้ยากด้วยว่าเรื่องราวไหนจะจำเป็นขึ้นมาในสักวันหนึ่งเราต่างอยากสร้างประวัติศาสตร์โดยการใช้ชีวิตอยู่ในประวัติศาสตร์ แต่จงอย่าลืมว่ายิ่งคุณอ่าน เขียนและจดจำประวัติศาสตร์มากเท่าไร คุณก็ยิ่งเพิ่มโอกาสในการมีชีวิตอันเป็นที่จดจำมากยิ่งขึ้นเช่นกัน

ห้องสมุดและพิพิธภัณฑ์